25 มกราคม 2563

สวด บังสุกุลเป็น บังสุกุลตาย วัดป่าดงรัง อ.โกสุมพิสัย มหาสารคาม 22/1/2563

สวด บังสุกุลเป็น บังสุกุลตาย
วัดป่าดงรัง
อ.โกสุมพิสัย มหาสารคาม




บังสุกุลครั้งพุทธกาล

ในสมัยพุทธกาล พระพุทธเจ้าไม่อนุญาตให้พระภิกษุรับผ้านุ่งห่มจากฆราวาส แต่ให้เก็บผ้าบังสุกุลหรือผ้าที่ถูกทิ้งไว้ตามร้านตลาด หรือผ้าห่อศพ มาซักล้างให้สะอาด แล้วนำมาตัดเย็บเป็นผ้าผืนใดผืนหนึ่ง เช่น ผ้านุ่งหรืออันตรวาสกหรือผ้าสบง ผ้าห่มหรือผ้าจีวรหรือผ้าอุตตราสงค์ หรือผ้าห่มซ้อนหรือสังฆาฏิ

มีเรื่องเล่าในพระไตรปิฎกว่า สมัยหนึ่งพระพุทธเจ้าได้เสด็จไปพักในโรงบูชาไฟของอุรุเวลกัสสป ณ ตำบลอุรุเวลา ทรงมีพระประสงค์จะนำผ้าขาวที่ห่อศพ มาซักย้อมทำเป็นผ้าสังฆาฏิ พระพุทธองค์จึงเสด็จไปพิจารณาปฏิกูลสัญญา แล้วทรงชักผ้าบังสุกุลนั้นมา

เมื่อพระองค์ได้ผ้ามาแล้ว ก็ทรงดำริว่าจะซักผ้าบังสุกุลที่ไหน ท้าวสักกเทวราชหรือพระอินทร์ ผู้เป็นใหญ่แห่งสวรรค์ ทรงทราบพระดำรินั้น จึงได้ขุดสระโบกขรณีด้วยพระหัตถ์ของตนเอง เพื่อให้พระพุทธองค์ทรงซักผ้าในสระนี้

จากนั้นเมื่อทรงดำริต่อไปว่า จะขยำผ้านี้ที่ไหนดี ท้าวสักกะจึงได้ยกศิลาแผ่นใหญ่มาให้ เพื่อให้ทรงขยำผ้าบนศิลานี้ หลังจากซักแล้วพระพุทธองค์ก็ทรงดำริต่อ ว่าจะพาดผ้าไว้ในที่ใดหนอ เมื่อเทพยดาที่สิงสถิตอยู่ที่ต้นกุ่มบกรับรู้พระดำรินั้น จึงน้อมกิ่งของกุ่มบกลงมา เพื่อให้พระพุทธองค์พาดผ้า

เมื่อชฎิลอุรุเวลกัสสปได้เข้าไปเฝ้าพระพุทธเจ้า และเห็นสระน้ำ รวมทั้งแผ่นศิลาใหญ่ และกิ่งต้นกุ่มบกที่โน้มลงมา ก็เกิดความสงสัย เพราะที่นี่ไม่เคยมีสิ่งเหล่านี้มาก่อน สมเด็จพระบรมศาสดาจึงตรัสเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟัง

ชฎิลอุรุเวลกัสสปได้ฟังแล้ว จึงคิดว่า พระพุทธองค์ทรงมีฤทธิ์มาก มีอานุภาพมากแท้ ถึงขนาดที่ท้าวสักกะจอมเทพได้ลงมาทำการช่วยเหลือด้วยตนเอง

จากพุทธประวัติสำคัญในตอนนี้ จึงได้มีผู้สร้างพระพุทธรูปปางปลงกัมมัฏฐาน หรือเรียกอีกชื่อหนึ่งว่าปางชักผ้าบังสุกุล เป็นพระพุทธรูปอยู่ในพระอิริยาบถยืน พระหัตถ์ซ้ายทรงธารพระกร(ไม้เท้า) ยื่นพระหัตถ์ขวาออกไปข้างหน้า ทอดพระเนตรลง เบื้องต่ำ เป็นกิริยาชักผ้าบังสุกุล

อนึ่ง สมเด็จพระบรมศาสดาไม่เคยประทานจีวรที่ทรงห่มแล้วแก่พระสาวกรูปใดเลย แต่ภายหลังได้ประทานบังสุกุลจีวรผืนนี้ที่ทรงครองมาตลอดแก่พระมหากัสสปะ เพราะท่านได้บำเพ็ญธุดงค์ในการถือผ้าบังสุกุลเป็นวัตร เรียกว่า ปังสุกูลิกังคะ

พระมหากัสสปะรู้สึกซาบซึ้งในพระกรุณาคุณและพระเมตตาคุณ จึงได้สมาทานธุดงค์คุณ 13 ข้อจนตลอดชีวิต ซึ่งต่อมาพระพุทธเจ้าได้แต่งตั้งท่านให้เป็นเอตทัคคะด้านถือธุดงค์

สมัยต่อมาจึงมีพระพุทธานุญาตให้พระสงฆ์รับผ้าจากฆราวาสได้ เพื่อเจริญศรัทธาของอุบาสกอุบาสิกาผู้เลื่อมใส และบรรเทาความยากลำบากของพระภิกษุสงฆ์ในการแสวงหาผ้าอีกทางหนึ่งด้วย
• บทสวดบังสุกุลตาย (พร้อมคำแปล)

อะนิจจา วะตะ สังขารา สังขารทั้งหลายไม่เที่ยงหนอ
อุปปาทะวะยะธัมมิโน มีความเกิดขึ้นและมีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา
อุปปัชชิตฺวา นิรุชฌันติ เกิดขึ้นแล้วย่อมดับไป
เตสัง วูปะสะโม สุโขฯ ความเข้าไปสงบแห่งสังขารเหล่านั้นได้ ย่อมนํามาซึ่งความสุข



สัพเพ สัตตา มะรัน ติจะ สัตว์ทั้งหลายทั้งปวง ที่ตายไปแล้วก็ดี
มะริงสุ จะ มะริสสะเร ที่กําลังตายอยู่เดี๋ยวนี้ก็ดี ที่จะตายต่อไปอีกก็ดี
ตะเถวาหัง มะริสสามิ แม้ตัวของเราก็จะตายอย่างนั้นเหมือนกันนั่นแล
นัตถิ เม เอตถะสังสะโยฯ ความสงสัยในเรื่องความตายนี้ย่อมไม่มีแก่เราเลย

• บทสวดบังสุกุลเป็น (พร้อมคำแปล)

อะจิรัง วะตะยัง กาโย ร่างกายของเรานี้คงไม่นานหนอ
ปะฐะวิง อะธิเสสสะติ จะต้องลงไปทับถมซึ่งแผ่นดิน
ฉุฑโฑ อะเปตะวิญญาโน เมื่อวิญญาณได้ปราศจากตัวเราทิ้งไปเสียแล้ว
นิรัตถังวะ กะลิงคะลังฯ เปรียบเหมือนท่อนไม้ท่อนฟืน หาประโยชน์มิได้ดังนี้แล

นิมนต์พระรูปหนึ่งบอกท่านว่าจะบังสุกุลเป็นและตาย

เตรียมผ้าขาวไปด้วย(จะได้ไม่ต้องไปหาข้างหน้า)

ดอกไม้ธูปเทียนชุดหนึ่งซองใส่ปัจจัยด้วย(อย่างอื่นแล้วแต่คุณ)

บังสุกุลตายท่านจะเอาผ้าขาวคลุมตัวให้คุณนอนหันหัวไปทิศตะวันตก

ท่านจะสวดบังสุกุลตาย

บังสุกุลเป็นหันหัวไปทิศตะวันออก(เหมือนเกิดใหม่)

ท่านจะสวดบังสุกุลเป็น จากนั้นก็ถวายของเป็นอันเสร็จพิธี

ทำได้ทุกเวลาอย่าไปตอนมืดค่ำแล้วกัน ใช้เวลาไม่นาน

ไม่ต้องระบุชื่อพระ